วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ต้นไม้ไทย


ต้นไม้ไทย


นไม้ไทย
ต้
ต้นไม้ไทย เป็นต้นไม้ พันธุ์ดีที่สุดในโลกงอกงามในพื้นดินที่ดีที่สุดในโลกคือ กลางลุ่มน้ำโขง มูล ชี บางปะกง ตาปี แม่กลอง และ เจ้าพระยานานกว่า เจ็ดพันปีตามหลักของการเกิดของเผ่าพันธุ์และอารยธรรมอันมาจากลุ่มน้ำเป็น หลัก แตกหน่อมาจากพันธุ์มงโกล ซึ่งเป็นพันธุ์แรกของโลก ออกนามตนเองว่า ไท้ หรือ ไต๋ หมาย ถึง ไว้ตัว หรือ สงบ จึงต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อน เหมือนต้นไม้ที่งอกงามตามธรรมชาติ ต่อมาได้มีพวกฮั่น ม่าน รวมพวก พวกนี้ก็รวมกันมั่งลงกระถาง เรียกว่า บ้านเชียง และ จนกระทั่งน้ำป่าของขอม(ฝรั่งชาติอารยัน) เข้ามายีดครอง เมื่อนั้น จึงได้รวมตัวกันมีกระถางรองรับ สามกระถาง คือ สุขอุทัย(สุโขทัย) ล้านนา และล้านช้าง

ส่วนต้นที่อยู่ในกระถางสุโขทัย ได้เปลี่ยนกระถางเป็น อโยธยา(มาจาก อะจะยะคามี โยอัคระ ธหะฤาษี ยาคะมุณี) แปลว่า ไม่มีสงคราม ต่อมาเปลี่ยนเป็น กระถางศรีสมุทร (ธนบุรี)

แต่เป็นกระถาง ชั่วคราว จึงเปลียนเป็น กระถาง รัตนโกสินทร์ แต่ได้อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สยาม แปลว่า อาณาจักรพระพรหม เพื่อให้มีพันธุ์ไม้อื่น ๆ ได้ อยู่ร่วมบริเวณ อย่างมีความสุข และกลมกลืน แต่อยู่มาได้เพียง 150 ปี บุคคลกลุ่มที่มาจากแดน อารยะ ตะวันตก ได้มาเปลี่ยนสถานะภาพและยัดเยียดพันธ์ไม้ทั้งหมดลงในกระถาง ต้นไม้ไทย กระถางเดียว เป็นเหตุให้ต้นไม้นี้ไม่งอกงาม แถมแคระแกร็น ทั้งให้เปลี่ยนเรียกชื่อ บริเวณสยามเป็น บริเวณไทย เรียกเป็นสากลว่า ไทยแลนด์ บริเวณนี้ก็เลยเต็มไปด้วยสัตว์สกปรกที่คนปักษ์ใต้ และ คนอีสาน เรียกว่า แลน เข้ามาทำให้บริเวณนี้สกปรก ตลอดมา

ถ้าต้องการจะเรียกว่า ไทย (แทนที่จะเป็นสยาม) ก็โปรดตัด แลน ออกเสียเถิด

ให้เหมือนกับนานาประเทศ เช่น ไชน่า แจแพน เยอรมัน ฯลฯ เพื่อเป็นมงคลนาม หรือ เรียก สยาม ตามเดิม ให้สมกับพระปฐมบรมราชโองการของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่ว่า “เราจะ ปกครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาว สยาม” และอย่าลืมว่าตั้งแต่ เราเรียกตนเองว่า สยาม เราไม่เคยแพ้ใคร เรารักษาเอกราชได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยพระบารมีของพระปิยะมหาราชเจ้าผู้เป็น จ้าว แห่งสยาม ประเทศ

ปกิณกะแห่งประวัติ ศาสตร์ คือ สมัยรัชกาลที่ 1 แห่ง ราชวงศ์จักรี ได้มีโองการให้เชลยเมืองนครศรีธรรมราช และ เชลยปัตตานี(เมืองปัตตานีเป็นเมืองออกของเมืองนครฯ ๆ ตกเป็นเมืองออกของ กรุงเทพฯ มาเป็นประเทศเดียวกันสมัย ร 5) นำโดยพระยาตรัง(คนกรุงเก่าซึ่งเป็นข้าเก่าของ ร 1)มาสร้างเมืองจันทบูรณ์ ซึ่งเป็นเมืองร้างเพราะคนไทยไปร่วมกับพระเจ้าตากกู้ชาติ คงเหลือแต่พวกฌ็อง และ ญวน เหลืออยู่ พระองค์เกรงว่าญวนจะเข้ามายึดครองได้ พระยาตรังได้นำเชลยดังกล่าว พร้อมได้นำพืชพันธุ์ เช่น เงาะ ทุเรียน ลางสาด มังคุด สะตอ สะตือ และหยานัส(ภาษายาวี) มาปลูกด้วย ได้มาเรือแพขึ้นที่ท่าแขมหนู (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอท่าใหม่) เข้ามาในเมืองจันทบูรณ์ ทางเดินดังกล่าว ปัจจุบันจากท่าใหม่ – เมืองจันท์ เป็นถนนลาดยางชื่อว่า ถนนพระยาตรัง

ดัง นั้น วัฒนธรรม ในการพูด และความหมาย จึงยังคงมีแนวของเมืองนครอยู่ ริมทะเลในเขตแหลมสิงห์ ยังคงวัฒนธรรมของปัตตานีอยู่ด้วย

มี คำอยู่คำหนึ่งที่ให้ความหมายดี คือ เหี้ย ซึ่งเป็นเพี้ยนมา จากภาษาแต้จิ๋วคำว่า เฮีย คนจีนเข้ามาอยู่เมืองนครฯ(ตามพรลิงค์) นานนับพันปีแล้ว อันเป็นคำเรียกว่า พี่ หลายท้องที่ ยังเรียกกันว่า เหี้ยศักดิ์ เหี้ยจ้วน เหี้ยสนธยา แต่คนใต้จะโกรธถ้าด่าว่า ไอ้แลน ไอ้กวด คนเมืองจันท์ จะเรียกว่า เหีย เอาไม้โทออก แปลว่าพี่เช่นกัน คนอีสานเรียกเรียกสัตว์นี้ว่า แลน เหมือนทางใต้ ไม่เจ็บแสบถ้าเรียก เหี้ย แต่คนกรุงเทพฯ ก็เรียกเฮีย แต่เน้นความหมายให้เสียงสูง เพื่อให้เป็นคำด่า เพราะคนไทยยุคพระเจ้าตากเกลียดคนจีนที่เป็นอั้งยี่สังกัดพระยาราชาเศรษฐี และพระยาโชดึกราชเศรษฐีอย่างรุนแรง เหมือนคนกรุงเทพฯ เรียก หรือด่าคนอีสานในคำที่ดีจนเป็นคำที่เสีย คือ คำว่า เสี่ยว นั่นเอง

คำ ว่า แลน น่าจะมาจากภาษายาวี ที่ว่า ลัน หรือ หลัน หรือ แหล๋น แปลว่า ขโมย

คำ ว่า WARRANUS วอ ระนุส ที่ปัจจุบันแปลว่า เหี้ย นั้น ความจริงเป็นภาษาลาติน แปลว่า สัตว์เลื้อยคลาน สกุลไดโสเสาร์กินสัตว์ตายเป็นอาหาร มีลายเหลือง แดง ต่างหาก

ต้นไม้ไทย กำลังจะสูญพันธ์ แท้ เพราะคนในชาติเอาพันธุ์อื่นมาต่อตา ทาบกิ่ง ทาบยอด เพาะชำ และเป็นกาฝากเต็มไปหมด กล่าวคือ วัฒนธรรมจากนานาชาติเข้ามาครอบงำประเทศจนไม่มีเอกลักษณ์ของไทยเลย เราชื่นชมกับของนอกมากเป็นพิเศษ จนลืมความเป็นไทยไปหมดทั้ง ๆ ที่ความเป็นไทยเท่านั้นที่เหมาะกับประเทศไทย เราเสียวัฒนธรรมไทยไปหมดทุกด้าน ทั้งภาษา การกิน การอยู่ การแต่งตัว ความเชื่อ แนวความคิด แม้กระทั่งการสืบพันธุ์ ตัวการในการทำลายประเทศไทย คือคนไทยนี่เอง นักเรียนนอก คนที่ใช้ชีวิตเมืองนอก นำความเป็นของนอกไปเผยแพร่ ด้วยความผยองว่า สูงส่ง คนไทยในประเทศก็ซึมซับทันที เพราะเชื่อความเป็นคนไทยด้วยกัน ทั้งความเชื่อดั้งเดิมที่ยึดเป็นประเพณีที่ว่า คนเรียนสูง ๆ ต้องเป็น จ้าวคนนายคน ซึ่งเป็นความเชื่อเพียง ด้านเดียว ขาดการประยุกต์ที่เหมาะสม หน้าที่หลักและหนักของนักการเมือง นอกจากจะทำงานการเมืองด้วยจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นต่อส่วนรวมแล้ว ต้องจำแนก แยกแยะ และกำหนดแนวทางที่เหมาะสมกับบ้านเมือง ไม่ใช่นำเครื่องทรงของแขก จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง เกาหลี ญวน เข้ามาสุม ๆ ในเรือนร่างไทย จนดูเป็นคนวิกลวิกาล จนจำตนเองไม่ได้

การ พัฒนาประเทศ ไม่ใช่ไปเอาแต่ของนอกมาเป็นฐาน ไม่ใช่ทำเพื่ออวดให้เมืองนอกเห็นว่าเราเหมือนเขา เราต้องเริ่มต้นจากความเป็นจริงของเราเอง โดยยึดแนวทางของเราที่เราเดินมา เอาตัวรอดมานับเกือบพันปี ถ้ายึดมั่นชัดเจนแบบไทย ๆ แทนที่เราจะไปนึกอายคนอื่น คนอื่นต่างหากจะเอาเราเป็นแบบอ ย่าง เพราะการอยู่รอด มีชาตินิยม มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมจะทรงพลังที่ใคร ๆ ก็คิดนิยม

โปรด ระลึกเสมอว่า นโยบาย “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระเจ้าอยู่หัวคือ จิตวิญญาณ ที่แท้จริงของไทย ที่เราเอาตัวรอด และสร้างชาติมาได้นานเกือบพันปีแล้ว และโปรดยึดเป็น”กฎ” ได้ว่า ชาติใดที่ผลิตอาหาร ยา และเส้นใย ได้ ย่อมจะเป็นผู้ที่อยู่รอดและชนะชาติอื่นได้เสมอไป

จงภูมิใจอย่าง ยิ่งใหญ่ที่เรามีประเทศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก มีพระเจ้าอยู่หัวที่เป็นมหาราชของมหาราชของโลก มีศาสนาที่ไม่มีศาสนาใดสมบูรณ์เทียบเท่าได้และมีจิตวิญญาณแบบไทยในจารีต ประเพณีที่ร้อยรัดคนในชาติไว้ได้อย่างแนบสนิทกลมกลืนชนิดเป็นเนื้อเดียวกัน

การไปดูงาน หามีความจำเป็น ไม่ เพราะถ้าเราร่วมกันในการทำกิจกรรมใด ๆ ด้วยเหตุ ผล ความจำเป็น ความเหมาะสม บนรากฐานแห่งความเป็นจริงเราย่อมจะทำทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิผล ตามฐานานุรูปในทุกกิจกรรมเป็นแน่แท้ แต่ถ้าเรามัวแต่ต้องตามแนวคิดของชาติอื่น ๆ แล้ว ความเป็นไทยของเราจะอยู่ที่ไหน

การไปดูงานเป็นการสิ้นเปลืองเงินทอง เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน เพราะผู้ที่ไปดูงานจะไม่สามารถ นำงานที่ตัวไปดูมาประยุกต์ได้ เพราะความไม่เหมาะสม ความไม่พร้อมในเทคโนโลยี่และผลที่จะพึงได้รับในหลาย ๆ ทาง ทั้งนานเข้า ๆ คนไทยก็คิดอะไร ๆ ไม่เป็น

การไปดูงานที่ผ่านมา เป็นเรื่องกล่าวอ้างกันไป แต่ที่แท้จริงคือการไปเที่ยว แท้จริงคือการทวงถามรางวัลที่ตัวควรจะได้จากรัฐ เท่านั้น หลายประเทศในโลก ไม่มีการส่งคนไปดูงานต่างประเทศเลย เขาก็พัฒนาประเทศของเขาได้อย่างดี

ในอดีต นักการเมืองเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ได้แถลงแบบ ประชดพวกนักการเมืองด้วยกันว่า ให้ไปดูงาน “ขอทาน”จาก อินเดีย และงาน “กะหรี่”จากฮ่องกง (ยุคนั้นแพร่หลายมากเพราะมีสภาพ เป็นเมืองท่าผ่องถ่ายสินค้าของอังกฤษจึงมากด้วยหญิงบริการนานาชาติทีเดียว)

หมาย เหตุ เพื่อนที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาไปดูงานที่สหรัฐฯ ได้ขอให้ทำบันทึกนี้ เพื่อนำไปประกอบการอภิปรายบางเรื่องบางราวในวุฒิสภา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น